photo by

Photo by WATCHARIN SANOI

Mar 25, 2010

ญี่ปุ่นในสายตาผม... (ตอนที่ 2)




นอกจากหลายๆสิ่งที่ผมได้พูดไปใน entry ที่แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ผมชอบมากๆ นั่นก็คือคนญี่ปุ่นครับ

อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าคนญี่ปุ่นเค้าจะมีความคิกขุอาโนเนะอยู่ในตัวกันทุกคน
ตอนที่ผมเพิ่งลงจากเครื่องบิน ทางทัวร์จะมีคนประสานงานเป็นสาวญี่ปุ่นมารับและพาเราไปที่รถซึ่งเธอจะคอยแจกน้ำให้เราๆ
ผมบอกได้เลยว่าท่าทางการแจกน้ำของเธอนั้นถ้าคนไทยเราทำตามจะโดนด่าว่า 11ร.ด. หรือกะแหร่งมากๆ แน่ๆ
ลักษณะท่าทางแบบนี้ ตอนเจอเธอครั้งแรกผมยังนึกในหัวเลยว่ามันดูแอ๊บ แต่พอเราเข้าไปในเมืองแล้วเดินดูของตามที่ต่างๆ ปรากฏว่าเค้าเป็นยังงั้นจริงๆ มันอยู่ในนิสัยและวัฒนธรรมของเค้าไปแล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นจุดนึงที่เราไม่สามารถเลียนแบบเค้าได้เลย แม้ว่าเราจะพยายามแอ๊บมากขนาดไหนกันก็ตาม
(เหมือนกับที่ชาติอื่นๆพยายามยิ้มแค่ไหน ก็ไม่น่ารักเท่ากับคนไทยเวลายิ้มหรอกครับ :D )






ภาษาญี่ปุ่นก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย
ขอเกริ่นก่อนเลยว่า ผมเป็นคนจีน 100% ไร้สารไทยเจือปน อากง อาม่า อาก๋ง และอาโผ่ของผมเป็นคนจีนแท้ๆ เพราะฉะนั้นผมเลยได้ยินภาษาจีนมาตั้งแต่เด็กๆ ผมเกลียดภาษาจีนมากเพราะมันหนวกหู เลยจำฝังใจมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาจนวัยทำงาน ได้มาทำงานแถวสีลม ซึ่งคนญี่ปุ่นก็เยอะ กลับได้เจอภาษาญี่ปุ่นแบบโหวกเหวกโวยวายไม่ต่างกับภาษาจีน
มันก็เลยทำให้ผมคิดในแง่ลบไปก่อนแล้วว่าภาษาญี่ปุ่นมันก็คงน่ารำคาญหูไม่ต่างกับภาษาจีนเท่าไร
...
แต่เอาเข้าจริงแล้วไม่ใช่เลยครับ
อาจจะเป็นเพราะฟุกุโอกะ เป็นเมืองที่ไม่ค่อยวุ่นวาย หรือเพราะคนญี่ปุ่นแถวสีลมอยู่เมืองไทยมากไปก็ไม่ทราบ
ภาษาญี่ปุ่นที่ผมได้เจอมาออกไปทางสุภาพเรียบร้อยมากๆ ร้านค้าแต่ละร้านเวลาเค้าพูดกับคนเดินดูของผมว่ามันชวนให้เข้าไปเดินดูของๆเค้านะ ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วเค้าจะด่าพ่อเราอยู่ก็ตามที
ในทีแรกผมคิดว่า เพราะมันคือร้านค้า สำเนียงการพูดเลยต้องอ่อนหวานเข้าไว้ก่อน
แต่ผมก็ผิดอีก... เพราะเค้าเป็นกันทั้งเมืองเลยจริงๆ เห็นสาวๆคุยกัน เห็นกลุ่มเพื่อนกลุ่มเด็ก ถึงแม้จะเสียงดัง แต่น้ำเสียงกลับไม่ไปในทางโหวกเหวกโวยวายอย่างที่ได้เคยฟังมา


พูดเรื่องลักษณะท่าทาง และภาษาไปแล้ว เราจะขาดเรื่องการแต่งตัวได้อย่างไรใช่ไหมล่ะ ;)
อยากบอกพร้อมตะโกนดังๆว่าสุโค่ย!!!! เพราะสาวๆที่นี่แต่งตัวกันน่ารักมากกกกกกกก
เสื้อโค้ช + ชุดยาวกระโปรงสั้น + ถุงน่องหรือแลคกิ้งสีดำ + รองเท้าบูท
แทบจะทุกคนแต่งตัวแบบนี้กันทั้งนั้น :D
ผมโชคดี เพราะวันที่ผมไป หิมะเพิ่งจะหยุดตกไปเมื่อวาน อากาศเลยยังหนาวอยู่มาก
แต่ก็น่าแปลกที่สาวๆเค้าชอบแต่งโทนสีดำกันแฮะ ไม่รู้ทำไม
ส่วนผู้ชาย... ก็ประมาณคนไทยเวลาหน้าหนาวแหละครับไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
ด้วยความที่บ้านเมืองเค้าหนาว ทำให้เค้ามีอะไรให้แต่งกันเยอะ
ผมเปิดดู TV ที่นั่นพบว่าคนเดินถนนยังน่ารักกว่าดาราใน TV ซะอีก



ในรูปข้างบนนี้ผมรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปขอเค้าถ่ายรูปเลยนะครับ :D
ทำไมต้องเข้าไปขอถ่าย... มันมีเหตุผลครับ ;)

คิดว่านี่คงเป็นเรื่องสุดท้ายแล้วที่ผมจะพูดถึง นั่นก็คือ กฎระเบียบทางสังคม ของที่ญี่ปุ่นครับ
ญี่ปุ่นนับเป็นประเทศที่กฏระเบียบเยอะพอสมควร
เอาตัวอย่างที่ได้ไปพบเจอมาด้วยตัวเองนั่นก็คือ การถ่ายรูปครับ... ทราบหรือไม่ว่า กล้อง โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์ทุกอย่างที่สามารถถ่ายรูปได้ ถ้าผลิตในญี่ปุ่นจะไม่มีสามารถปิดเสียง shutter ได้นะครับ
เป็นเพราะเค้าเคารพสิทธิส่วนบุคคลและส่วนรวมกันอย่างเคร่งครัดมาก
อย่างรูปสาวๆรูปแรกตอนถ่ายนั้นผมไม่ทราบเรื่องนี้เลยจริงๆ จนไกต์เค้ามาเห็นรูปในมือถือผมและได้เตือนไว้ว่า
"ถ้าอยากถ่ายเค้าก็ไปขอเค้าถ่ายเลย เค้าไม่ว่าอะไรหรอก"
เพราะถ้าเราแอบถ่าย แล้วเค้ารู้ตัวไปแจ้งตำหนวดแมว... ได้เสียค่าปรับกันหัวบานเลยครับ -_-"

การใช้รถใช้ถนนก็เช่นกัน...
คำถาม O-NET ชาติหน้า ข้อที่1 ถามว่า!
ถ้าเราเจอไฟสำหรับคนเดินข้ามเป็นสีแดง แต่บนถนนไม่มีรถอยู่เลยเราจะทำอย่างไร?
-ตอบ-
100% คนไทยเดินข้ามเลยครับ >.<
100% คนญี่ปุ่นมองไอ้คนไทยกลุ่มที่เดินข้ามไปอย่างงงๆ แล้วรอจนกว่าไฟคนเดินข้ามจะเขียวแล้วค่อยเดิน ถึงแม้จะไม่มีรถบนถนนก็ตาม
คำถาม O-NET ปีมะโว้ ข้อที่2 ถามว่า!
ณ ทางม้าลาย มีคนกำลังรอข้ามถนนอยู่ ถ้าไม่มีไฟสำหรับเดินข้ามถนนและรถบนถนนเพียบ คนขับรถควรจะทำเช่นไร?
-ตอบ-
99% คนกรุงเทพมึงรอกูขับผ่านไปก่อนแล้วค่อยข้ามแล้วกัน ฟิ้วววววววววว
100% คนญี่ปุ่นขับมาด้วยความเร็วเต่าวิ่งกัดล้อ (50 km/hr) แล้วจอดให้คนรอข้ามถนนข้าม
คำถามเหล่านั้นที่ผมคิดมาต้องการจะสื่อว่า เค้าขับรถในเมืองกันช้ามากครับและให้เกียรติคนเดินเท้า 100% เต็ม ไม่ว่าเราจะข้ามตรงทางม้าลายหรือไม่ก็ตาม เค้าก็จะหยุดให้เราข้ามทันที
การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นเรื่องที่ไม่น่าพิสมัยในญี่ปุ่นเลยครับ แค่เราขับเฉี่ยวชนเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าฝ่ายไหนผิดเราจะโดนตัดแต้มและยึดใบขับขี่ทันที ครั้งแรกยึด 1 สัปดาห์ แล้วไล่มาเป็น 1 เดือน 1 ปี จนในที่สุดก็คือยึดถาวร
เป็นคนไทยผมว่าก็คงโดนยึดกันไปครึ่งกรุงเทพแล้วล่ะมั้ง >.<


ก่อนจะจบ entry นี้ผมอยากจะเล่าเหตการณ์นึงให้ได้ฟังครับ
ผมได้ไปเจอคุณแม่ลูก 2 ชาวญี่ปุ่น ซึ่งเด็กๆเรียกร้องอยากดื่ม Coca-Cola กันมาก คุณแม่เลยจัดการหยอดตู้ให้... น่าแปลกตรงที่ หลังจากได้น้ำดื่มแล้ว เด็ก 2 นั่นก็นั่งกินมันหน้าถังขยะ recycle เลย ผมว่าน่ารักมากเลยขอเค้าไปถ่ายรูปลูกๆทั้ง 2 คนและได้คุยกับคุณแม่มาด้วย ความว่า
"เรื่องการแยกขยะมันเป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆให้เค้ารู้จักรักบ้านเมือง ถ้าเค้าอยากอยู่ที่ๆสะอาด ก็ต้องทำตัวเองให้เป็นคนสะอาดไว้ก่อน..."
แปลเป็นไทยได้ประมาณนี้ครับ


จริงๆแล้วผมไม่ได้เห่อหรืออะไรกับญี่ปุ่นมากมาย
เพียงแต่คิดว่า
หากคนไทยเรามีระเบียบ และคิดถึงส่วนรวมมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ บ้านเราคงจะน่าอยู่ขึ้นกว่านี้อีกเยอะเลยครับ
;)


Bye Bye Fukuoka - Japan

No comments:

Post a Comment