ผมนั่งมองการ์ดบัตรเชิญใบสวยบนฝ่ามือ
เรียนเชิญ คุณ ... และครอบครัว
ผมอ่านแต่ละรายละเอียดด้วยรอยยิ้ม
ขอบคุณการ์ดเชิญแต่งงาน ที่ทำให้ผมได้นึกย้อนถามตัวเอง...
วันนี้เรามีความสุขหรือยัง
วันนี้เรายังหลงเหลือความเศร้าอยู่ไหม
วันนี้เรายังเหงามากน้อยเพียงไร
และวันนี้เรารักกันจนล้นใจหรือเปล่า
ขอให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมีความสุข
เรามักจะอวยพรกันแบบนั้น
ผมเชื่อว่าทุกคนก็อยากมีความสุขเหมือนพวกเค้าเช่นกัน
แต่จะมานั่งเฝ้ารำพันว่ายังไม่ถึงคราวก็ไม่เข้าที
ผมเชื่อเสมอว่าไม่มีโลกหลังความตาย
ไม่มีทั้งนรกสวรรค์
ไม่มียมฑูตหรือว่าเทวดา
ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วดับศูนย์ นั่นคือ "ความเท่าเทียม"
หากว่าเป็นจริงตามที่ผมพูด
สิ่งที่เราต้องทำหรือสมควรจะทำก็คือการแบ่งปันความสุขกันและกัน
ก่อนที่ทุกทุกอย่างมันจะสายเกินไป
จนไม่เหลืออะไรให้เราได้รับกลับคืนมา
วันนี้เรายังบ่นว่าเหงากันอยู่ไหม
ช่วงวัยที่อายุ 26 อย่างผมคงจะมีคนบ่นเรื่องเหงากันอยู่มาก
เวลาที่เราไม่มี่เพื่อนเที่ยว
เวลาที่เราไม่มีเพื่อนคุย
แต่มันก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
มีผู้ใหญ่ท่านนึงเคยบอกผมว่า
เราจะรู้สึกเหงาที่สุด
ก็เมื่อเราเห็นเพื่อนเราตายจากไปทีละคน
จนในที่สุดสิ่งที่เหลืออยู่เป็นเพื่อนเราก็คือคำว่า "อายุยืน"
ฟังแล้วก็น่าเศร้าเมื่อเราต้องอยู่คนเดียวกับคำนี้
ได้ยินแบบนี้เรายังอยากจะอายุยืนโดยไม่มีใครกันไหม
ผมไม่คิดว่าผมจะอายุยืนขนาดนั้น
สิ่งที่ผมสามารถจะทำได้
คือเตรียมความพร้อม
คือเตรียมความมั่นคง
คือเตรียมหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง
เพียงเพื่อที่จะมอบความสุขให้กับคนๆหนึ่งข้างๆกาย
เพียงเพื่อที่จะบอกกับเธอคนนั้นว่า
"แต่งงานกันนะ"
ดังเช่นการ์ดแต่งงานที่วางอยู่ตรงหน้า
และวันนั้น
ความสุข
ความเศร้า
ความเหงา
ความรัก
ผมก็คงจะไม่จำเป็นต้องแบกรับมันคนเดียวอีกต่อไป
เมื่อได้มีใครอีกคนหนึ่งมาเดินร่วมทาง...
แด่ความสุข ความเศร้า ความเหงา และความรัก ในตัวมนุษย์ทุกๆคนครับ
PS. ขอแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะเข้าพิธีกันด้วยนะครับ คุณได้มอบความสุขให้ทั้งคนที่คุณรักและคนที่รักคุณไปพร้อมๆกันแล้ว... ขอบคุณมากครับ
No comments:
Post a Comment